วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แสง

แสง แสง เป็นพลังงานรูปหนึ่งที่รับรู้ได้ด้วยสายตา แสงช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ แหล่งกำเนิดแสง แหล่งกำเนิดแสง หมายถึง สิ่งที่ทำให้เกิดแสงได้ โดยแยกได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. แสงที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงดาวบางดวง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า แสงจากดวงอาทิตย์ถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ใหญ่ที่สุด 2. แสงจากสัตว์ สัตว์บางชนิดจะมีแสงในตัวเอง เช่น หิ่งห้อย แมงดาเรือง 3. แสงที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เช่น แสงจากไฟฉาย เทียนไข หลอดไฟฟ้า แสงที่เกิดจากการลุกไหม้ การเดินทางของแสง แสงเดินทางจากแหล่งกำเนิดด้วยความเร็วมาก โดยเดินทางได้ 186,000 ไมล์ต่อวินาที หรือ 300,000 กิโลเมตร ต่อวินาที แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรง และเดินทางผ่านสุญญากาศได้ เช่น แสงจากดวงอาทิตย์เดินทางมายังโลกของเรา โดยผ่านสุญญากาศ ผ่านอากาศมายังโลกของเราใช้เวลา 8 นาที ซึ่งดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกของเราถึง 93 ล้านไมล์ ตัวกลางของแสง ตัวกลางของแสง หมายถึง วัตถุที่ขวางทางเดินของแสง โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ตัวกลางโปร่งใส หมายถึง ตัวกลางที่ยอมให้แสงผ่านไปได้หมด เช่น น้ำใส พลาสติกใส กระจกใส อากาศ แก้วใส 2. ตัวกลางโปร่งแสง หมายถึง ตัวกลางที่แสงผ่านไปได้ดี แต่ผ่านได้ไม่หมด เช่น น้ำขุ่น กระจกฝ้า หรือหมอกควัน เป็นต้น 3. ตัวกลางทึกแสง หมายถึง ตัวกลางที่แสงผ่านไม่ได้เลย เช่น สังกะสี กระเบื้อง กระจกเงา เป็นต้น การหักเหของแสง แสงเมื่อเดินทางผ่านตัวกลางอย่างเดียว จะเดินทางเป็นเส้นตรง แต่เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางอย่างหนึ่ง ไปยังตัวกลางอีกอย่างหนึ่ง ที่มีความหนาแน่นต่างกัน จะเกิดการหักเหของแสง เช่น แสงเดินทางจากน้ำผ่านอากาศ หรือจากอากาศผ่านไปยังน้ำ จะเกิดการหักเหตรงรอยต่อ การหักเหของแสงผ่านเลนส์ เลนส์ คือ วัตถุโปร่งใสที่ทำจากแก้วหรือพลาสติก ลักษณะของเลนส์จะมีผิวโค้งบริเวณตรงกลาง และส่วนขอบจะหนาไม่เท่ากัน เลนส์แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 1. เลนส์นูน มีลักษณะตรงกลางนูนโค้งและมีส่วนขอบบางกว่า แสงเมื่อเดินทางผ่านเลนส์นูนจะเกิดการหักเห รวมแสงที่จุด จุดหนึ่ง ถ้าเราใช้เลนส์นูนส่องดูวัตถุจะทำให้ดูว่าวัตถุใหญ่ขึ้น เช่น การมองตัวหนังสือผ่านเลนส์นูน 2. เลนส์เว้า มีลักษณะขอบโดยรอบหนากว่าส่วนกลางของเลนส์เมื่อแสงเดินทางผ่านเลนส์เว้าจะเกิดการหักเห และกระจายออกจากกัน ดังนั้นเลนส์เว้าจึงมีคุณสมบัติในการกระจายแสงเมื่อเรามองวัตถุผ่านเลนส์เว้าภาพที่เกิดจะมองเห็นวัตถุเล็กลงกว่าเดิม เช่น การมองตัวหนังสือผ่านเลนส์เว้า คลิกสองครั้งเพื่อเพิ่มภาพตัดปะ

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

วิธีโอนย้ายไฟล์ขนาดเล็ก ถึงขนาดใหญ่ ไฟล์ขนาดเล็ก- สามารถใช้ Flash Drive หรือ copy เข้าแผ่น Cd/DVD ในการโอนย้ายไฟล์ได้ ไฟล์ขนาดใหญ่ -สามารถใช้ USB Hard Disk ต่อเชื่อมเข้า port USB จะได้ drive หนึ่งในคอมพิวเตอร์ของเรา จากนั้นให้ copy เหมือน Flash Drive แต่ถ้าต้องการโอนทั้งคอมพิวเตอร์ สามารถใช้เทคนิคในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ 2 เครื่องเข้าด้วยกันได้ ผ่านสายเคเบิล CAT5, CAT5e หรือ CAT6 วิธีโอนย้ายไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง วิธีที่ 1 กรณีมี Switch / Hub อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมี Switch / Hub สายเคเบิล CAT5, CAT5e หรือ CAT6 เรียกรวมๆ ว่า สายแลน คอมพิวเตอร์ต้องมี LAN card ทั้งสองเครื่อง วิธีที่ 2 กรณีไม่มี Switch / Hub อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมี สายเคเบิล CAT5, CAT5e หรือ CAT6 เรียกรวมๆ ว่า สายแลน ที่เรียกว่า "Cross Cable" สายไขว์กัน คอมพิวเตอร์ต้องมี LAN card ทั้งสองเครื่อง วิธีเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องเข้าด้วยกัน ทั้ง 2 วิธีจะมีหลักการคล้ายๆ กัน คือวิธีที่ 1 ต่อสายแลนจากคอมพิวเตอร์เข้า Switch แต่ถ้าเป็นกรณีที่ 2 ต้องสายแลนเข้าด้วยกันระหว่างสองคอมพิวเตอร์ กำหนด IP Address ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยการเข้าเมนู Control Panel คลิกเลือก Network Connection ให้เลือก Lan Area Connection คลิกขวาเลือก Properties ในช่อง "This connection uses the following items" ให้คลิกเลือก "Internet Protocol (TCP/IP) และคลิก Properties พิมพ์ IP Address ดังนี้ IP Address: 192.168.0.100 Subnet mask: 255.255.255.0 Default Gateway: 192.168.0.1 สำหรับคอมพิวเตอร์อีกเครื่องให้พิมพ์เหมือนกัน ยกเว้น IP Address ให้พิมพ์ต่างกัน เช่น 192.168.0.101 เป็นต้น จากนั้นให้คลิกไอคอน My Network Places คลิก View workgroup computers จากนั้น คุณจะเห็นคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง ให้คลิกเลือกได้เลย ถ้าเครื่องคอมฯ อีกเครื่องมี password คุณจะต้องใส่ user name และ password ให้ถูกต้องด้วย การเชื่อมต่อnotebook2เครื่อง การ Setup ระบบ Ad-hoc นั้นไม่ยากเลยครับ ง่ายมั้กๆ มีแค่ 3 ขั้นตอนคือ การเซ็ทค่า SSID การเลือก Channel เลือก Ad Hoc Network เซ็ทค่าทุกเครื่องในระบบให้เหมือนกัน แค่ 3 อย่างนี้แหละครับ แค่นี้ก็ connect กันได้แล้วครับ สำหรับ Ad-Hoc Mode นี้จะสามารถต่อได้ถึง 9 เครื่องพร้อมๆกันครับ อืม....ฟังดูง่ายจังเลยนะครับ เดี๋ยวมาลองกันเลยดีกว่าว่าจะมีซักกี่ Step กว่าจะเสร็จ ส่วนเรื่องการแชร์ Internet Connection นั้นทำได้ไม่ยากเลยครับ เดี๋ยวลองทำตามกันดูนะครับ
เอาล่ะ เรามาเริ่มกันดีกว่านะครับ ผมจะเริ่มที่เครื่องแม่ข่ายก่อน แรกเลยก็ให้เปิดสวิทซ์ Wireless LAN ครับ หลังจากเปิดแล้วให้ดูที่ icon ตรงมุมขวาล่าง ตามรูปนะครับ
ให้ double click ที่ icon นั้น หน้าต่างนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาครับ ให้คลิ๊กปุ่ม Advanced ครับ
ต่อมาเราจะทำการเพิ่ม Network ของเราครับ คลิ๊กที่ปุ่ม Add ได้เลยครับ
ในหน้านี้ก็ให้เราใส่ SSID และ Network Key ทีนี้เรามาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่า SSID และ WEB คืออะไร SSID คือชื่อของ Network ที่เราตั้งขึ้นมาเอง โดยที่ทุกๆเครื่องในระบบต้องตั้งค่า SSID ค่าเดียวกัน โดยส่วนมากเมื่อเราซื้อ Wireless Access Point มาใหม่ๆ จะมีการตั้งค่า SSID ไว้แล้ว แต่เราควรที่จะเปลี่ยนชื่อ SSID ในทันทีที่ติดตั้ง การตั้งชื่อ SSID นั้นต้องไม่เกิน 32 ตัวอักษร และ ตัวใหญ่ตัวเล็กก็มีค่าต่างกันด้วย เช่น TonyNetwork กับ tonyNetwork ถือว่าเป็นคนละ SSID กันครับ WEP (Wired Equivalent Privacy) เป็นรูปแบบการเข้ารหัสแบบพื้นฐาน โดยใช้ Network key ที่คุณป้อนเข้าไปในการเข้ารหัส ดังนั้นถ้าทั้ง 2 เครื่องป้อน Network key ไม่ตรงกัน จะไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ครับ
เอาล่ะ มาป้อนค่า SSID และ Network key กันครับ ถ้าคุณไม่เอาเครื่องหมายถูกตรงหน้า The key ... ออก ก็จะไม่สามารถป้อน Network key ได้นะครับ เสร็จแล้วก็คลิ๊ก OK ครับ
อั่นแน่...เห็น Network ของเราแล้ว แต่ยังมี x สีแดง แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ครับ ต่อไปให้คลิ๊ก Advanced ครับ
ในหน้านี้ ให้เลือก Computer-to-computer (ad hoc) networks only แล้วคลิ๊ก Close ครับ
เสร็จแล้วลองมาดู icon ของเรา ใกล้จะ work แล้วครับ ขอ double click ไปที่ icon นี้อีกทีครับ
ที่หน้าต่างนี้ เราจะมาเซ็ท Properties กันครับ คลิ๊กปุ่ม Properties ได้เลยยยย
ให้ scroll down ลงมา แล้วคลิ๊กทีนึงที่ Internet Protocol (TCP/IP) ต่อไปคลิ๊ก Properties ครับ
มาถึงหน้าเซ็ทค่า IP Address
กรอกลงไปตามรูปเลยครับ พอเสร็จแล้วให้คลิ๊ก OK ครับ
ต่อมาผมจะไปเซ็ทเครื่องลูกข่ายบ้าง ให้เปิดสวิทซ์ Wireless LAN ครับ หลังจากเปิดแล้วให้ดูที่ icon ตรงมุมขวาล่าง ตามรูปนะครับ แล้ว double click ได้เลยครับ
พอหน้าจอนี้ขึ้นมา คลิ๊กที่ Advanced ครับ
คลิ๊ก Advanced ครับ
เลือก Computer-to-computer (ad hoc) networks only แล้วคลิ๊ก Close ครับ
ที่ Network icon ของเรา ไม่มี x สีแดงแล้วครับ ต่อไปให้ double click ที่ icon นี้เลยครับ
อุ๊ยคำ.....เจอแล้ว Wireless LAN ของเรา ง่ายเจงๆ
ให้ใส่ Network key ที่เราใส่ไปที่เครื่องแม่ข่ายที่นี่ครับ แล้วคลิ๊ก Connect ครับ
ใกล้เสร็จแล้วครับ ต่อไปให้คลิ๊ก Properties
ให้ scroll down ลงมา แล้วคลิ๊กทีนึงที่ Internet Protocol (TCP/IP) ต่อไปคลิ๊ก Properties ครับ
กรอกลงไปตามรูปเลยครับ พอเสร็จแล้วให้คลิ๊ก OK ครับ
Yes! เสร็จแล้วครับ Wireless LAN แบบ Ad-Hoc ของเรา
ต่อไปเราจะ connect Internet ที่เครื่องแม่ข่ายเพื่อแชร์ Internet นะครับ
ให้เปิดตัว dialup ขึ้นมาแล้วคลิ๊ก Properties
ต่อไปคลิ๊กที่ Advanced ตามรูปครับ
ให้คลิ๊กที่ Allow other .... ครับ
ต่อมาให้คลิ๊กเลือก Wireless Network Connection 2
ลองดูให้เหมือนดังรูป แล้วคลิ๊ก OK ครับ
จะมีหน้าต่างเตือนขึ้นมาให้เซ็ท IP Address เป็น 192.168.0.1 แต่ว่าเราได้เซ็ทค่าไว้ล่วงหน้าแล้ว คลิ๊ก Yes ไปโลดครับ
ต่อมาก็ให้ Connect Internet บนเครื่องแม่ได้เลยครับ เสร็จแล้วกลับมาดูที่เครื่องลูกข่าย แล้วลองเข้า Internet ดู......จบแล้วครับ วิธ๊นี้สามารถนำไปใช้ในการแชร์ ADSL ก็ได้นะครับ แค่เลือกตัว Dial-Up ของ ADSL แล้วเซ็ทให้แชร์ Internet ก็เท่านั้นเองครับ
ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ก็ไป post ถามใน Forum ได้เลยนะครับ

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

วันปีไหม่

วันปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2556 ผมได้ขับจักรยานยนต์ไปทำบุญกับเพื่อนๆที่วัดโพสพเจริญผล(วัดเต่า) ทำหลายอย่าง เช่น - ถวายสังฆทาน - ให้อาหารปลา - ไหว้พระ - ให้อาหารเต่า แล้วก็ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านอย่างปลอยภัยทุกคน พอถึงบ้านก็นอน จบ!

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การสื่อสารผ่านดาวเทียม


การสื่อสารผ่านดาวเทียม
หลักการของดาวเทียมมาจากหลักการของฟิสิกส์หรือกฎของเคปเลอร์ที่ว่า คาบของดาวที่โคจรอยู่รอบโลกจะแปรตามยกกำลัง 3/2 ของรัศมี ดาวที่ใกล้โลกมากจะมีคาบประมาณ 90 นาที แต่ไม่มีประโยชน์ที่ว่าจะนำมาทำดาวเทียมเพราะว่า เมื่อมองจากพื้นดินจะเห็นดาวเทียมเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ที่ระยะประมาณ 36000 Km เหนือเส้นศูนย์สูตร คาบของดาวเทียมจะเป็น 24 ชั่วโมงทำให้เสมือนอยู่นิ่งเมื่อมองจากพื้นโลกตลอดเวลา
บนท้องฟ้าดาวเทียมจะอยู่ห่างกันประมาณ 4 องศาตามมุม 360 องศาของเส้นศูนย์สูตร ถ้าหากดาวเทียมอยู่ใกล้มากกว่านี้จะทำให้สัญญาณที่ขึ้นมาจากพื้นดินรบกวนดาวเทียมตัวข้าง ๆ ที่อยู่ถัดไปด้วย ฉะนั้นถ้าคิดง่าย ๆ จำนวนดาวเทียมที่มีอยู่ได้รอบโลกจะเท่ากับ 360/4 = 90 ดวงเท่านั้น และถ้าหากเป็นดาวเทียมสำหรับทีวีด้วยแล้วละก็จะต้องห่างกันถึง 8 องศา เนื่องจากกำลังส่งจะสูงกว่าดาวเทียมธรรมดา อย่างไรก็ตามดาวเทียมแต่ละดวงสามารถใช้ความถี่คนละย่านทำให้สามารถส่งข้อมูลหลาย ๆ ชุด พร้อม ๆ กันได้
เพื่อเป็นการป้องกันการแก่งแย่งความถี่และตำแหน่งบนท้องฟ้า จึงได้มีการกำหนดข้อตกลงระหว่างชาติขึ้นว่าใครบ้างที่จะได้ใช้ความถี่ใดและตำแหน่งใด ช่วงความถี่ 3.7-4.2 GHz และ 5.925-6.425 GHz ได้ถูกกำหนดสำหรับการสื่อสารดาวเทียม หรือมีการเรียกย่อ ๆ กันว่า 4/6 GHz หมายถึง ความถี่ขึ้นมีค่าอยู่ในช่วง 6 HGz และความถี่ลงอยู่ในช่วง 4 GHz อย่างไรก็ตามความถี่ช่วงนี้ก็หนาแน่นมากเพราะถูกใช้โดยไมโครเวฟของบริษัทสื่อสารอยู่แล้ว
ความถี่ช่วงที่สูงกว่านี้ก็คือ 12/14 GHz ทำให้ดาวเทียมสามารถวางอยู่ใกล้กันได้ถึง 1 องศา แต่มีปัญหาที่ตามมาก็คือ ความถี่ช่วงนี้ถูกลดทอนได้สูงด้วยฝนและพายุได้ง่าย ทางแก้ที่เป็นไปได้ก็คือตามหลักความจริงที่ว่าพายุหรือฝนมักจะเกิดเป็นหย่อม ๆ ถ้าหากตั้งจานรับเอาไว้กระจายไปทั่ว ( และต่อถึงกันด้วยสายเคเบิล) เมื่อมีฝนที่ใดที่หนึ่ง ก็ใช้สถานีพื้นดินที่บริเวณอื่นที่ไม่มีฝนตกรับแทนได้
ดาวเทียมทั่วไปจะแบ่งแถบกว้างความถี่ขนาด 500 MHz ออกเป็นทรานส์ปอนด์เดอร์ แต่ละทรานส์ปอนด์เดอร์มีแถบกว้างความถี่ 36 MHz แต่ละทรานส์ปอนด์เดอร์อาจจะใช้ส่งข้อมูลขนาด 50 Mbps เพียงชุดเดียว หรือส่งขนาด 64 Kbps จำนวน 800 ชุดหรือจะรวมในลักษณะอื่นก็ได้ และแต่ละทรานส์หอนด์เดอร์สามารถใช้การส่งแบบคนละขั้วคลื่น ( polarize) ได้ทำให้ 2 ทรานส์ปอนด์เดอร์สามารถใช้ความถี่เดียวกันโดยไม่มีการรบกวนกันได้ ในดาวเทียมยุคแรก ๆ การแบ่งแถบกว้างความถี่ของทรานส์ปอนด์เดอร์ออกเป็นช่อง ๆ นั้นทำแบบตายตัว (static) ที่ความถี่เดียว แต่ในปัจจุบันช่องแต่ละช่องจะถูกแบ่งออกตามเวลา เช่นช่อแรกสำหรับสถานีแรก ช่องที่สองสำหรับสถานีที่สอง และต่อ ๆ ไป การทำแบบนี้ช่วยให้การจัดการอ่อนตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย มีชื่อเรียกว่า time-division multiplex
ดาวเทียมดวงแรกนั้นมีลำคลื่นจากอวกาศลำเดียวครอบคลุมสถานีพื้นดินทั้งหมด และเมื่อเวลาผ่านไปราคาของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ , ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ และขนาดได้ลดลง จนปัจจุบันสามารถที่จะใช้ทำให้ดาวเทียมมีความซับซ้อนมากขึ้น แต่ละดาวเทียมอาจจุมีสายอากาศหลาย ๆ จานและมีทรานส์ปอนด์เดอร์หลาย ๆ ตัว แต่ละลำคลื่นที่ส่งลงมาสามารถที่จะเจาะจงลงไปยังบริเวณใด ๆ ที่ต้องการและสามารถใช้ลำคลื่นหลาย ๆ ลำขณะส่งขึ้นหรือส่งลงพร้อม ๆ กันได้ บริเวณที่ลำคลื่นเล็งไปนั้นเรียกว่า ลำคลื่นเป็นจุด ( spot beam) ซึ่งบริเวณที่เล็งอาจจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่กี่ร้อยกิโลเมตรได้
การสื่อสารผ่านดาวเทียมมีคุณลักษณะหลายอย่างต่างจากการสื่อสารผ่านตัวกลางบนพื้นดิน เช่น การหน่วงของเวลา ( delay time) เนื่องจากระยะทาง โดยปกติสัญญาณจากดาวเทียมจะถูกหน่วงจากต้นทางถึงปลายทางประมาณ 250-300 มิลลิวินาที ( ถึงแม้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเดินทาง &"3652; ด้เร็วเท่ากับแสงหรือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาทีก็ตาม) ถ้าเทียบกับไมโครเวฟแล้วจะมีค่าเพียง 3 ไมโครวินาที/กิโลเมตร หรือถ้าเป็นโคแอกเชียลก็จะมีค่า 5 ไมโครวินที/กิโลเมตรเท่านั้น ( คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเดินทางในอากาศได้เร็วกว่าเดินทางในสายทองแดง)
แต่โดยอีกนัยหนึ่งถ้าคำนึงถึงแถบกว้างความถี่และอัตราการเกิดผิดพลาด ( error rate) ของข้อมูลด้วยแล้วการหน่วงเวลาของสัญญาณอาจจะไม่ใช่จุดสำคัญก็ได้ เช่น เวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูล x กิโลไบท์ผ่านสายขนาดความเร็ว 9600 bps คือ x/19.6 วินาที แต่ถ้าส่งผ่านดาวเทียมที่มีความเร็วการส่งข้อมูล 5 Mbps แล้วจะใช้เวลา x/5000+0.270 วินาที (รวม 0.27 วินาทีสำหรับเวลาที่หน่วงในอากาศ) สำหรับข้อมูลมากกว่า 2.6 Kbps แล้วดาวเทียมจะเร็วกว่า และถ้าหากว่านับเวลาที่เสียไปเนื่องจากการส่งใหม่ (เมื่อมีการส่งข้อมูลผิดพลาด จะมีการส่งข้อมูลชุดนั้นมาใหม่ ทำให้เวลาที่ใช้ส่งข้อมูลจนครบเท่าที่ต้องการเพิ่มขึ้นไปด้วย) ดาวเทียมก็จะได้เปรียบมากกว่าเพราะว่าดาวเทียมมีอัตราส่งข้อมูลผิดพลาดต่ำกว่ามากนั่นเอง
นอกจากนั้นค่าเวลาที่หน่วงที่เสียไปไม่ขึ้นกับระยะทาง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างเครื่องรับและเครื่องส่งที่อยู่คนละฟากของมหาสมุทรก็จะใช้เวลาเท่ากับส่งระหว่างที่อยู่ตรงข้ามถนน ทำให้การคิดราคาค่าส่งข้อมูลไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางไปด้วย
จุดอื่นที่ต่างกันอีกก็คือการสื่อสารผ่านสายเช่า สามารถส่งข้อมูลได้เร็วสุดเพียง 56 Kbps เท่านั้น (ถึงแม้ว่าจะมีสายขนาดความเร็ว 1.544 Mbps ให้ใช้ ถ้าหากว่าสามารถจ่ายค่าเช่าไหวให้ใช้ในบางพื้นที่ก็ตาม) แต่การส่งจากจานสายอากาศบนหลังคาไปยังอีกฝ่ายที่มีจานอากาศอยู่บนหลังคาผ่านดาวเทียมนั้น สามารถทำได้เร็วกว่าถึง 1000 เท่า และสำหรับการส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์แล้วละก็การส่งข้อมูลปริมาณมาก ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเป็นที่ต้องการมากกว่าใช้เวลานาน ๆ เช่น การส่งข้อมูลในม้วนเทปผ่านสายโทรศัพท์ที่มีความเร็ว 56 Kbps ใช้เวลา 7 ชั่วโมง แต่ถ้าผ่านดาวเทียมจะใช้เวลา 30 วินาที เท่านั้น
คุณสมบัติที่น่าสนใจอีกอย่างของดาวเทียมก็คือว่าเป็นการส่งข้อมูลแบบกระจายไปทุกที่ (broadcast) ทุก ๆ สถานีพื้นดินที่อยู่ภายใต้รัศมีลำคลื่นสามารถที่จะรับสัญญาณได้หมด รวมทั้งสถานีเถื่อนด้วย และบริษัทสื่อสารเองก็ไม่มีทางรู้ด้วยดังนั้นจึงต้องมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัย
นอกจากใช้ดาวเทียมสำหรับส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์แล้ว ยังสามารถใช้ส่งสัญญาณโทรทัศน์ตรงไปยังบ้านได้ด้วย
หากจะเปรียบเทียบดาวเทียมกับเส้นใยแก้วแล้ว โดยหลักการณ์แล้วเส้นใยแก้วเพียงเส้นเดียวนั้นมีแถบกว้างความถี่มากกว่าดาวเทียมทั้งหลายที่ได้เคยส่งขึ้นไปทั้งหมด แต่แถบกว้างความถี่เหล่านี้ไม่สามารถไปถึงผู้ใช้งานรายย่อยได้โดยตรงปกติเส้นใยแก้วจะใช้สำหรับเป็นตัวเชื่อมระหว่างชุมสายโทรศัพท์ที่ทางไกลเข้าหากันผู้ใช้งานไม่สามารถใช้ประโยชน์ของแถบกว้างความถี่ที่มากมาย ๆ ของเส้นใยแก้วได้อย่างเต็มที่ เพราะถ้าหากส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ ความเร็วสูงสุดก็จะได้เพียง 9600 bps เท่านั้นไม่ว่าสายที่ส่งระหว่างชุมสายจะมีความเร็วเท่าใดก็ตาม ต่างกับการผ่านดาวเทียมซึ่งสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีการวางเครือข่ายเส้นใยแก้วเข้าไปตามบ้านได้อย่างทั่วถึงแล้วละก็ ตรงจุดนั้นเส้นใยแก้วจะได้เปรียบกว่าอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าต้องการลักษณะพิเศษเช่นการกระจาย ( broadcast) เช่นทีวีซึ่งจะทำได้ยากถ้าหากเป็นเส้นใยแก้ว
ประเทศไทยเริ่มใช้ดาวเทียมสื่อสารครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 การสื่อสารแห่งประเทศไทยตั้งสถานีภาคพื้นดินที่อำเภอศรีราชา ชลบุรี โดยเช่าช่องสัญญาณจำนวน 13 ช่องสัญญาณ เพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศดาวเทียมที่ใช้ในยุคแรกเป็นของบริษัท ยูอาร์ซีเอ ซึ่งเป็นดาวเทียมทางทหารของสหรัฐอเมริกา
                จานรับสัญญาณดาวเทียมที่สถานีภาคพื้นดินมีขนาดใหญ่มาก เช่น จานรับสัญญาณดาวเทียมอิเทลแซด ที่ศรีราชามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 97 ฟุต สามารถสื่อสารข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย
                  ใน พ.ศ. 2522 สถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยมีการขยายเครือข่ายทั่วประเทศ ในการนี้มีการเช่าช่องสัญญาณจากดาวเทียมปาลาปาของอินโดนีเซีย ทำให้ระบบการถ่ายสัญญาณโทรทัศน์ของประเทศไทยกระจายไปยังเมืองใหญ่ ๆ ได้ทั่วประเทศ จานรับสัญญาณดาวเทียมปาลาปามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-3 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นจานขนาดใหญ่พอสมควร การถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทำได้ง่ายเพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินสายหรือเชื่อมโยงด้วยไมโครเวฟ
                  ดาวเทียมสื่อสารที่ใช้งานต้องมีลักษณะพิเศษคือ เป็นดาวเทียมค้างฟ้า ซึ่งผิดจากดาวเทียมจารกรรมทางทหาร ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรที่ประเทศมหาอำนาจส่งขึ้นไป ดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่โคจรรอบโลกผ่านทุกส่วนของพื้นผิวโลก โดยจะกลับมาที่เดิมในระยะเวลาประมาณ 9-11 วัน
                  ดาวเทียมค้างฟ้า เป็นดาวเทียมที่ต้องอยู่บริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรและโคจรรอบโลก 1 รอบ ใน 1 วัน พอดีกับเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง ระดับความสูงและความเร็วการโคจรต้องเหมาะสม ดาวเทียมค้างฟ้าที่ใช้ในการสื่อสารอยู่ที่ระดับความสูง 42,184.2 กิโลเมตร
                บริษัทชั้นนำในด้านการข่าว เช่น ซีเอ็นเอ็น จะมีดาวเทียมของตนเองทำให้สามารถส่งข่าวสารหรือรับข่าวสารได้ตลอดเวลาจากทั่วโลก ผู้รับสัญญาณโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น ต้องมีจานรับสัญญาณจึงจะรับได้ และต้องปรับทิศให้ตรงกับตำแหน่งดาวเทียม เพื่อให้ดาวเทียมแพร่สัญญาณได้ทุกพื้นที่ในโลกจะต้องมีดาวเทียมหลายดวงรอบโลก สัญญาณจะครอบคลุมทั่วโลกได้ต้องใช้ดาวเทียมอย่างน้อยสามดวง
                  ในช่วงปลาย พ.ศ. 2536 บริษัทชินวัตรได้รับอนุมัติจากรัฐบาลไทยให้ส่งดาวเทียมสื่อสารของไทยขึ้นเป็นดาวดวงแรกมีชื่อว่า ไทยคม การสื่อสารของไทยจึงก้าวหน้าและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
                  ดาวเทียมไทยคมอยู่ในตำแหน่งเส้นแวงที่ 101 องศาตะวันออก เหนือเส้นศูนย์สูตรบริเวณอ่าวไทยค่อนไปทางใต้ ใช้สัญญาณพาหะในย่านความถี่ 4 , 10 และ 12 จิกะเฮิรทซ์ บริษัทผู้ผลิตดาวเทียมคือ บริษัทฮิวส์แอโรคราปของประเทศสหรัฐอเมริกา และส่งขึ้นวงโคจรด้วยจรวดของบริษัทเอเรียนสเปสของประเทศฝรั่งเศส
                  ข้อได้เปรียบของดาวเทียมไทยคมคือ อยู่ตรงประเทศไทยทำให้จานรับสัญญาณมีขนาดเล็กลงเหลือเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 50 เซนติเมตร ดาวเทียมไทยคมครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทย และเพื่อนบ้านไว้ ดาวเทียมตัวนี้มีอายุประมาณ 15 ปี
                  การสื่อสารผ่านดาวเทียมในประเทศไทยจึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีทางเลือกของการสื่อสารมากขึ้น การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจะทำได้เร็วขึ้น การส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมเป็นหนทางหนึ่งที่จะส่งไปยังพื้นที่ใด ๆ ก็ได้ในประเทศ แม้จะอยู่ในป่าเขาหรือมีสิ่งกีดขวางทางภาคพื้นดิน
                  ดังนั้น การกระจายข่าวสารในอนาคตจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น การใช้ข้อมูลข่าวสารจะเจริญเติบโตไปพร้อมกับความต้องการหรือการกระจายตัวของระบบสื่อสาร

ปัจจุบันประเทศไทยมีดาวเทียมไทยคมลอยอยู่เหนือประเทศ ดาวเทียมไทยคมนี้ใช้ประโยชน์ทางด้านการสื่อสารของประเทศได้มาก
เพราะเป็นการให้บริการสื่อสารของประเทศในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณจากวิทยุ สัญญาณข้อมูลข่าวสารต่างๆ

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สายโคแอ็กเชียล,สายRG6,RG11,RG8,RG59,RG58


สายโคแอ็กเชียล,สายRG6,RG11,RG8,RG59,RG58 [No. 0]























สายโคแอ็กเชียล

               สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) เป็นสายสัญญาณประเภทแรกที่ใช้ และเป็นที่นิยมมากในเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัย แรก ๆ แต่ในปัจจุบันสายโคแอ็กซ์ถือได้ว่าเป็นสายที่ล้าสมัยสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังมีระบบ เครือข่ายบางประเภทที่ยังใช้สายประเภทนี้อยู่
               สายโคแอกเชียล มีตัวนำไฟฟ้าอยู่สองส่วน คำว่า โคแอ็กซ์ มีความหมายว่า "มีแกนร่วมกัน" โครงสร้างของสาย
ประกอบด้วยสายทองแดงเป็นแกนกลาง แล้วห่อหุ้มด้วยวัสดุที่เป็นฉนวน ชั้นต่อมาจะเป็นตัวนำไฟฟ้าอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะเป็นแผ่น โลหะบาง ๆ หรืออาจจะเป็นใยโลหะที่ถักเปียปุ้มอีกชั้นหนึ่ง สุดท้ายก็หุ้มด้วยฉนวนและวัสดุป้องกันสายสัญญาณ 

รูปที่ 28 สายโคแอกเชียล
               ส่วนแกนเป็นส่วนที่นำสัญญาณข้อมูล ส่วนชั้นใยข่ายเป็นชั้นที่ใช้ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกและเป็นสายดิน ในตัว ดังนั้นสองส่วนนี้ต้องไม่เชื่อมต่อกันมิฉะนั้นอาจเกิดไฟช็อตได้ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่โคแอ็กซ์จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็
สามารถแบ่งสายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
               1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable หรือ Thinnet Cable) เป็น
สายที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cm เนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้ กับการติดตั้งเครือข่ายเกือบทุกประเภท สายประเภทนี้สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตร ก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลัง ลง บริษัทผู้ผลิตสายโคแอ็กซ์ได้ลงความเห็นร่วมกันในการแบ่งประเภทของสายโคแอ็กซ์ สายโคแอ็กซ์แบบบางได้ถูกรวมไว้ใน สายประเภท RG-58 ซึ่งสายประเภทนี้จะมีความต้านทาน (Impedance) ที่ 50 โอห์ม สายประเภทนี้จะมีแกนกลางอยู่ 2 ลักษณะคือ แบบที่เป็นสายทองแดงเส้นเดียวและแบบที่เป็นใยโลหะหลายเส้น

               2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thicknet Cable) เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้าง แข็ง และขนาดใหญ่กว่าสายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cm สายโคแอ็กซ์แบบหนานี้เป็นสาย
สัญญาณประเภทแรกที่ใช้กับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ต ส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่กว่า ดังนั้นสายโคแอ็กซ์แบบหนานี้จึงสามารถนำ สัญญาณ ได้ไกลกว่าแบบบาง โดยสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตร ด้วยความสามารถนี้สายโคแอ็กซ์แบบหนาจึงนิยมใช้ ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล หรือ แบ็คโบน (Backbone) ของเครือข่ายสมัยแรก ๆ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้สายโคแอ็กซ์
แล้ว โดยสายที่นิยมใช้ทำเป็นแบ็คโบน คือ สายใยแก้วนำแสง ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในส่วนต่อไป

หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายโคแอ็กเชียล
               ทั้งสายแบบบางและแบบหนา จะใช้หัวเชื่อมต่อชนิดเดียวกัน ที่เรียกว่าหัว BNC ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสัญ ญาณและเน็ตเวิร์คการ์ด หัวเชื่อมต่อแบบ BNC นี้มีหลายแบบได้แก่ หัวเชื่อมสาย BNC หัวเชื่อมสายรูปตัว T หัวเชื่อมสายแบบ Barrel และตัวสิ้นสุดสัญญาณ


1. สาย RG6  สายชนิดนี้เป็นสายนำสัญญาณภาพ ทีได้รับความนิยมนำมาใช้งานในระบบ นำสัญญาณภาพแบบต่างๆ ทั้ง TV เคเบิ้ล ดาวเทียม หรือ ระบบ Audio/Video ส่วนใหญ่ก็นิยมนำสายชนิดนี้มาใช้งาน และ สายชนิดนี้ยังนิยม นำมาใช้งานกับระบบกล้องวงจรปิด CCTV มากที่สุดอีกด้วย ซึ่งสาย RG6 ในปัจจุบันมีอยู่หลายเกรดด้วยกัน แต่สาย RG6 ที่ควรนำมาใช้งานในระบบกล้องวงจรปิดนั้นควรจะเป็นสาย RG6 ที่มีคุณภาพสูง มี Shield ป้องกันสัญญาณสูง 95% เพราะหากนำสายที่มีคุณภาพต่ำ มี Shield แค่ 60%-80% มาใช้งานอาจจะทำให้ได้คุณภาพของภาพจากกล้องวงจรปิดออกมาไม่ดี และ เมื่อใช้งานไปนานๆแล้ว อาจจะทำให้เกิดปัญญาณด้านสายสัญญาณภาพในภายหลังได้ สาย RG6 จะมีทั้งแบบที่เป็น Shield ทองแดง และ แบบที่เป็น Shield อลูมิเนียม ทั้งนี้ขึ้นอยู่สถานที่และต่ำแหน่งกล้องวงจรปิดที่จะใช้ในการติดตั้ง ว่าอยู่ ณ จุดใด หากเป็นจุดที่เดินสายในระยะไกลประมาณ 400-700 เมตรขึ้นไปก็ควรจะใช้สายที่เป็น Shield ทองแดง แต่ถ้าหากกล้องวงจรปิด ในจุดนั้นเดินสายไกลไม่เกิน 400 เมตร ก็ใช้สายที่เป็น Shield อะลูมิเนียมได้ สาย RG6 จะมีทั้งสีแดง และ สีขาว ซึ่งสาย สีขาวจะนิยมใช้งานภายในอาคาร เพราะสายสีขาวไม่ทนทานต่อแสงแดง สาย RG6 สีขาวส่วนใหญ่จะเป็นสายเกรดต่ำ ฉนวนหุ้มสายที่เป็นสีขาวนั้นเปื่อย-ขาดได้ง่าย ส่วนสาย RG6 ที่เป็นสีดำนั้น จะเป็นสายที่มีเกรดสูงกว่าสายสีขาว ทนทานต่อแดงได้ดี ไม่เปื่อย-ขาดง่าย ทนต่อความร้อนได้ แต่ก็จะมีราคาแพงกว่าสายสีขาว สายที่นิยมมาใช้ในระบบกล้องวงจรปิดนั้นจะใช้สายสีดำเป็น ทั้งภายในและภายนอกอาคาร เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และ ทนทานมากกว่าสาย RG6 สีขาว

2. สาย RG59  สายชนิดนี้เป็นสายนำสัญญาณภาพเหมือนกันกับสาย RG6 แต่สาย RG59 จะมีขนาดที่เล็กกว่าสาย RG6 และมีความยืดยุ่นสูงกว่า เพราะสายเส้นเล็กกว่า แต่สาย RG59 จะนำสัญญาณภาพได้ในระยะที่สั้นกว่าสาย กว่าคือสาย RG59 นำสัญญาณภาพได้ไกลไม่เกิน 200 เมตร เพราะสาย RG59 มีการลดทอนของสัญญาณภาพมากที่สุด เพราะสายมีขนาดเล็กสุด นั่นเอง สาย RG59 จะเหมาะกับใช้งานภายในอาคาร ในลิฟท์ เพราะมีสายมีขนาดเล็กและมีความยืดยุ่นได้ดี

3. สาย RG11 สายชนิดนี้เป็นสายนำสัญญาณภาพที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 1000 เมตร เพราะตัวสายมีขนาดใหญ่กว่าสาย RG6 และ RG59 อยู่มาก จึงมีแกนกลางที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ จึงนำสัญญาณได้ดี เหมาะกับใช้งานที่ต้องการเดินสายกล้องวงจรปิดระยะไกลๆได้ดี
สายสัญญาณภาพที่นำมาใช้กับกล้องวงจรปิด
RG59
 ใช้ในการเดินสายกล้องวงจรปิดในระยะ 0-200 เมตร
RG6
 ใช้ในการเดินสายกล้องวงจรปิดในระยะ 0-700 เมตร
RG11
 ใช้ในการเดินสายกล้องวงจรปิดในระยะ 700-1000 เมตร
    ในกรณีที่ต้องเดินสายไกลเกินกว่า 1000 เมตร ก็จะต้องใช้อุปกรณเสริมเข้ามาช่วยเพื่อให้นำสัญญาณภาพได้ไกลยิ่งขึ้น นั่นก็คือ บูตเตอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขยายสัญญาณภาพและนำสัญญาณภาพไปได้ไกลกว่าเดิม บูตรเตอร์มีอยู่รุ่นบางรุ่นนำสัญาณภาพได้ไกล 1500 เมตร บางรุ่นนำสัญญาณภาพได้ไกลเกินกว่า 2000 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความเหมาะสมตามหน้างานที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้นๆ


                                            สายสัญญาณกล้องวงจรปิดRG6           สายสัญญาณกล้องวงจรปิดRG59



RG-8


RG-8 เป็น 50 โอห์มคู่สายที่ใช้สำหรับการส่งวิทยุ (เช่นในวิทยุสมัครเล่นหรือ CB) เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาสามารถเพิ่มการเชื่อมต่อ หนึ่งในสิ่งแรกที่คนจะสังเกตได้เกี่ยวกับ RG-8 สายคือว่าพวกเขามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับสายอื่น ๆเนื่องจากพวกเขามีสาย 50 โอห์มพวกเขาไม่สามารถที่จะใช้สำหรับชนิดของการทำงานวิดีโอใด ๆ พวกเขาจะประกอบด้วย dielectrics ศูนย์วัสดุตัวนำและแจ็คเก็ตล้อมรอบพวกเขาที่ให้การป้องกันจากอันตรายภายนอก
ถ้าคุณรู้ว่าคุณสมบัติของ RG-8 มีจุดซื้อมันไม่มี น้ำหนักของสินค้าที่ควรจะประมาณสองปอนด์และอาจขยายตราบเท่าที่ 75 ฟุต RG-8 สายเหมาะสำหรับการใช้งานในบางEthernet เครือข่าย


RG-58



RG-58 / U คือประเภทของ คู่สาย มักจะใช้สำหรับการใช้พลังงานต่ำของสัญญาณและ RF การเชื่อมต่อ สายมี ลักษณะความต้านทาน ของทั้ง 50 หรือ 52 Ω . "RG" เป็นตัวบ่งชี้หน่วยสำหรับสาย RF จำนวนมากในกองทัพสหรัฐ อิเล็กทรอนิคส์ประเภทร่วมระบบการกำหนด . มีหลายรุ่นครอบคลุมความแตกต่างในวัสดุหลัก (สายแข็งหรือถักเปีย) และโล่ (70% ถึง 95% ครอบคลุม) เป็น
เส้นผ่าศูนย์กลางด้านนอกของ RG-58 ประมาณ 0.2 นิ้ว (5 มม. ) RG-58 น้ำหนักประมาณ 0.025 £ / ฟุต (37 g / m), การจัดแสดงนิทรรศการความจุประมาณ 25 pF / ฟุต (82 pF / m) และสามารถทนต่อสูงสุดไม่เกิน 300 V ที่มีศักยภาพ (1800 วัตต์) [1] RG-58 ธรรมดา สายมีตัวนำศูนย์ของแข็ง RG-58A / U มีความยืดหยุ่น 7 หรือ 19 ตัวนำศูนย์สาระ
มากที่สุด สองทางวิทยุ ระบบการสื่อสารเช่นทะเล วิทยุ CB , มือสมัครเล่น , ตำรวจ, ไฟไหม้, WLAN เสาอากาศ ฯลฯ ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับสายเคเบิล 50 Ω
RG-58 สายมักจะใช้เป็นผู้ให้บริการทั่วไปของสัญญาณในห้องปฏิบัติการร่วมกับ การเชื่อมต่อ BNC ที่ใช้กันทั่วไปในการทดสอบและอุปกรณ์การวัดเช่น Oscilloscope ของ .
RG-58 ในรุ่น RG-58A / U หรือ RG-58C / U ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน "ผอม" อีเธอร์เน็ต ( 10Base2 ) ที่ให้ความยาวส่วนสูงสุดของ 185 เมตร อย่างไรก็ตามมันก็ถูกแทนที่เกือบทั้งหมดโดยคู่บิดสายเช่น Cat 5 , Cat 6 และสายเคเบิลที่คล้ายกันในข้อมูลการใช้งานระบบเครือข่าย
RG-58 สายสามารถใช้สำหรับความถี่สูงปานกลาง การลดทอนสัญญาณขึ้นอยู่กับความถี่ในการเช่นจาก 0.11 dB / m ที่ 50 MHz ถึง 1.4 dB / m ที่ 2 GHz [2]


วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อุปกรณ์ ขั้นตอนการเข้าหัวสาย UTP


การต่ออุปกรณ์ด้วยสาย LAN'สาย LAN,สายตรง,สายครอส'


ทราบกันหรือไม่ว่าระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ กับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นรับ-ส่งข้อมูลกันได้อย่างไร ใช่แล้ว ใช้สายเชื่อมต่อ บทความนี้จะมาเล่าถึงการใช้สายในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ สองเครื่องเข้าในระบบเน็ตเวิร์ค การเตรียมสายในการเชื่อมต่อ สายที่ใช้งาน ว่ามีอะไรบ้าง ไปดูรายละเอียดกันเลย
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ Computer และอุปกรณ์เครือข่าย (Hub, Switch และ Router) ด้วยสาย LAN นั้น (ในยุกต์ที่อุปกรณ์ยังไม่มีระบบ Auto Cross / Auto Cross คืออะไร มีอธิบายครับ) เราจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเราควรจะใช้สายตรงหรือสายครอสในการเชื่อมต่ออุปกรณ์อะไรกับอุปกรณ์อะไร (มีในข้อสอบ CCNA ครับ) ซึ่งมีวิธีจำแบบง่ายๆ ที่หลายๆ คนใช้อยู่ (แต่มีจุดที่ต้องระวัง) คือ

  • อุปกรณ์เหมือนกัน ต่อกันใช้สาย LAN แบบครอส (Crossover Cable)
  • อุปกรณ์ต่างกัน ต่อกันใช้สาย LAN แบบตรง (Straight-Through Cable)
ซึ่งเป็นวิธีจำที่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหลายคนจะเหมารวมว่า "งั้นแสดงว่า Computer ต่อ Router ก็ต้องเป็นสายตรงซิเพราะเป็นอุปกรณ์คนละชนิดกัน" แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ Computer ต่อ Router ต้องเป็นสายครอสครับ ซึ่งจากรูปข้างล่าง เป็นรูปที่แสดงถึงการใช้สายครอสกับสายตรง เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์เครือข่ายอย่างถูกต้องครับ (ใช้อ้างอิงในการสอบ CCNA ได้นะครับ)

การเข้าหัว LAN สำหรับการทำสายครอส (Crossover Cable)การเข้า LAN สำหรับการทำสายครอสนี้สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ฝั่งหนึ่งเข้าหัวตามมาตรฐาน TIA/EIA 568A และอีกฝั่งหนึ่งเข้าหัวตามมาตรฐาน TIA/EIA 568B ดังรูปข้างล่างครับ

หรือเจาะลึกลงไปอีกหน่อยคือ
- Pin 1 เข้า Pin 3 ของอีกฝั่ง
- Pin 2 เข้า Pin 6 ของอีกฝั่ง
- Pin 3 เข้า Pin 1 ของอีกฝั่ง
- Pin 6 เข้า Pin 2 ของอีกฝั่ง



หากไม่เข้าหัว LAN ตามมาตรฐานจะได้ไหม?
จากประสบการณ์ที่เคยทำงานมาในช่วงแรกๆ ของการเข้าวงการ ผมเคยเข้าหัว LAN แบบตามใจฉัน คือ ถ้าเป็นสายตรง ก็เข้าหัวให้ทั้งสองฝั่งเหมือนๆ กันก็พอ และถ้าเป็นสายครอส ก็เข้าหัวแบบ 1 เข้า 3 และ 2 เข้า 6 อะไรประมาณนี้
ผลคือ ใช้งานได้ครับ แต่....
หลังจากที่ผมเสียบสาย LAN ดังกล่าวเข้า Interface LAN แบบ 100 M ทั้งสองฝั่ง ผลคือ ผมใช้ได้แค่ 10 M ครับ โดย Card LAN ทำการปรับตัวเองให้กลายเป็น 10 M อย่างอัตโนมัติ (ผลมันแสดงออกบน Windows เลยครับว่าให้ใช้ได้แค่ 10 M)
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?เราลองมาสังเกตที่สาย LAN กันสักหน่อยครับ จะเห็นได้ว่าสาย LAN จะมีสายทองแดงข้างในทั้งหมด 8 เส้น แบ่งเป็น 4 คู่ โดยแต่ละคู่จะมีการพันกันเป็นเกลียว (มันจึงชื่อว่า Twisted Pair ครับ) และที่สายแต่ละคู่จำเป็นต้องพันกันเป็นเกลียวนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้สนามแม่เหล็กที่เกิดจากกระแสสัญญาณมากวนกันเองครับ (พันกันเป็นเกลี่ยวเพื่อให้สนามแม่เหล็กหักล้างกันเอง ไม่มากวนกันเอง) ดังนั้นหากเราไม่เข้าหัว LAN ตามมาตรฐานแล้ว การหักล้างกันของสนามแม่เหล็กอาจจะไม่สมบูรณ์ กลายเป็นสัญญาณที่มารบกวนกันเอง ทำให้เกิด loss ภายในสาย และท้ายสุด Card LAN จำเป็นต้องปรับ speed ลงจาก 100 M ให้เป็น 10 M อย่างอัตโนมัติ เพื่อให้เรายังคงสมารถใช้งานได้ครับ